เก็บก่อนใช้ที่หลังเป็นวิธีที่หลายคนบอกเราเสมอแต่เราก็ทำไม่ได้ วันนี้พวกเราเลยอยากจะให้เพื่อนเพือนทุกคนมาลองวิธีการที่ต่างเคยได้ยินอีกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือการคำนวณรายรับและรายจ่ายของเรา แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังมองข้ามสิ่งเหล่านั้นเพราะมันไม่ได้ทำให้เราร่ำรวยขึ้นได้ พวกเราส่วนใหญ่ยังคงใช้เงินต่อไปแบบไม่มีแผนการใช้เงิน ทันทีที่เราได้รับมันมา
นี่คือเหตุผลที่พวกเราตัดสินใจหาเคล็ดลับที่ง่ายๆและมีประสิทธิภาพที่สุดที่จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการซื้อของที่อาจไม่เกิดประโยชน์และนี้จะทำให้คุณพูดว่า “อันนี้แหละ” เพื่อการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
1. เห็นภาพ
มันเป็นยังไงหรือ? จากภาพนั้นแสดงให้เห็นว่านักการตลาดทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อทำให้คุณเห็นสินค้าแล้วต้องการซื้อ นี่คือสาเหตุที่ห้องลองชุดอยู่ในมุมที่กว้างที่สุดของร้านค้าและสินค้าราคาแพงที่สุดอยู่ในระดับสายตาของคุณ ในคลังของพวกเขามีผลิตภัณฑ์ที่มีโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคา คูปองส่วนลด สร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอมที่น่าพอใจ และเพลงเพราะๆ
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-ตัวเลือก 1. ทำ “การทดสอบโดยคิดว่าเราเป็นคนอื่น ๆ” คุณต้องการชุดใหม่หรือไม่? ลองนึกภาพว่ามีคนอยู่ข้างหน้าคุณถือสิ่งที่คุณต้องการซื้อในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างของเขาถือเงินสดที่เท่ากับราคาของอันนี้ คุณจะเลือกอันไหน หากคุณต้องการเงินมากกว่านั่นหมายความว่าคุณไม่ต้องการสินค้านั้นมากนัก
-ตัวเลือก 2. ลองนึกภาพการหลังจากซื้อของชิ้นนี้ของคุณใน 6 เดือนต่อมา นี่คือชุดที่คุณใส่เพียงครั้งเดียวแขวนอยู่ในตู้เสื้อผ้าของคุณอย่างไร้ประโยชน์ ใช้ช่วงเวลานี้เพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้อง อย่าเพิ่งจ่ายเงินซื้อของก่อนโดยที่ยังไม่ได้ลองทั้งสองตัววิธีนี้
2. อย่าแตะสิ่งของที่คุณชอบ
มันเป็นยังไงหรือ? คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของ นี่คือเหตุผลว่าทำไม เมื่อคนขายแนะนำสินค้าตัวอย่างแล้ว พนักงานมักจะให้เราลองเล่นสินค้าชนิดนั้นอย่างเต็มที่ ในระดับจิตใต้สำนึก การที่เราได้ลองใช้หรือทดสอบการใช้งานเบื้องต้น ผู้คนส่วนใหญ่มันจะนึกเปรียบเทียบไปกับ ของที่เขามีอยู่ว่าอะไรดีกว่ากัน และเมื่อเขาพบว่าสินค้าที่อยู่ในมือนั้น สามารถทดแทนหรือ แก้ไขปัญหาของเขาได้ เขาก็จะตัดสินใจซื้อมันโดยไม่ได้คิดถึงราคาที่สูงกว่าความจำเป็นจริง ๆ เพราะสองของคุณจะคิดว่ามันเป็นของคุณแล้ว ราคาที่สูงนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระอีกต่อไป คุณจะลืมคำแนะนำทุกอย่างเกี่ยวกับการประหยัดเงิน และนี่จะทำให้คุณจ่ายเงินสำหรับสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ทั้งที่คุณไม่ต้องการเลย
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-ขอให้พนักงานขายแนะนำวิธีใช้โทรศัพท์ที่คุณชอบหรือโชว์เสื้อสเวตเตอร์ที่คุณคิดว่าคุณชอบ
-ซื้อสิ่งต่างๆ ออนไลน์ให้น้อยลง จากการศึกษาพบว่าการช็อปปิ้งออนไลน์นั้นอยู่เหนือการควบคุมของเราและเราตัดสินอย่างรวดเร็วที่จะซื้อทางเน็ตมากขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ว่าอะไรก็ตามอย่าแตะต้องสิ่งที่คุณคิดว่าชอบ
3. เดินไปทางซ้าย
มันเป็นยังไงหรือ? เมื่อเข้าสู่ร้านค้าผู้ซื้อส่วนใหญ่จะไปทางขวาเพราะเราถนัดมือขวา นักการตลาดรู้เรื่องนี้และพวกเขาจงใจวางสินค้าที่แพงที่สุดในส่วนนี้ของร้าน
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-เตรียมพร้อมสำหรับการช็อปปิ้ง: อย่าลืมลิสต์รายการช้อปปิ้งของคุณและเดินไปรอบๆ ร้านตามของที่อยู่ในรายการนี้ สิ่งนี้ทำให้คุณมีวินัยมากขึ้น ให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับชั้นล่างและชั้นบน จะมีสินค้าราคาถูกกว่า
-อย่าใช้รถเข็น ให้ถือของที่คุณกำลังจะซื้อด้วยมือของคุณ หากคุณต้องการซื้อมากกว่า 2 สิ่ง ให้ใช้ตะกร้าแทน ยังไม่ใช้รถเข็น ด้วยวิธีนี้คุณจะไม่ซื้ออะไรเพิ่มเติม โปรดจำไว้ว่าการเตรียมตัวเป็นสิ่งสำคัญในการบริโภคอย่างมีสติ
4. อย่าเคี้ยวหมากฝรั่ง
มันเป็นยังไงหรือ? คนที่เคี้ยวหมากฝรั่งจะมีการไหลเวียนของเลือดในสมองและการทำงานของสมองจะดีขึ้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาต้องการที่จะอยู่ใกล้ผู้คนเป็นเวลานานขึ้น มองสิ่งที่พวกเขากำลังซื้อและคิดถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-อย่าเคี้ยวหมากฝรั่งขณะไปซื้อของ จากการศึกษาพบว่ากระบวนการเคี้ยวนี้ทำให้คุณใช้เวลามากขึ้นในการเลือกสิ่งที่คุณต้องการและซื้อสิ่งต่างๆ มากกว่าที่คุณวางแผนไว้ สำหรับการซื้อของคุณต้องสนใจแต่สิ่งที่คุณต้องการและไม่สนใจข้อเสนอ อื่นๆ คุณต้องมีลิสต์รายการของที่จะซื้อหรือมีความชัดเจนเกี่ยวกับของที่ทำให้คุณตั้งใจมาที่ร้านในตอนแรก
-จำกัดเวลาที่คุณจะใช้ในร้าน เข้าไปข้างในซื้อสิ่งที่คุณต้องการแล้วออกไปซะ
อย่าเคี้ยวหมากฝรั่ง ตั้งสติในการควบคุมตนเอง และรักษาสมาธิอย่างเต็มที่
5. อย่ามองไปรอบๆ
มันเป็นยังไงหรือ? ผู้คนอยากจะซื้อสินค้าทันทีเมื่อเห็นว่ามีส่วนลด เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายมากขึ้น นี่เป็นสัญชาตญาณของนักช็อปทุกคน เพราะความคิดที่ว่าหากคุณไม่ได้ซื้อของลดราคาตอนนี้คุณจะเสียโอกาสที่จะซื้อมันในอนาคต มันจะทำให้เรากังวลและเผลอซื้อของมาในที่สุด
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-อย่าสนใจต่อสินค้าที่ลดราคา ถ้ามันไม่ได้อยู่ในรายการของคุณ
-หลังจากได้เลือกสิ่งของที่คุณต้องการแล้ว ให้ตรงไปที่แคชเชียร์ และปฏิเสธข้อเสนอจากแคชเชียร์ถ้าให้ซื้อหมากฝรั่ง 7 ซองในราคาของ 2 ซอง ต่อสู้กับของลดราคา และคุณจะชนะการใช้เงินซื้อของที่คุณไม่ต้องการ
6. ใช้เวลาคิดบ้าง
มันเป็นยังไงหรือ? หลังจากที่คุณได้ยินพนักงานขายบอกคุณว่าพวกเขามีข้อเสนอสุดวิเศษที่จะหมดอายุหลังจากวันนี้ หรือว่านี่เป็นสินค้าลดราคา หรือเป็นข้อเสนอพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยคุณอาจตัดสินใจซื้อทันที และคุณอาจจะเสียใจในภายหลัง เพราะมันยังมีที่อื่น ๆที่ลดราคาได้มากกว่าที่คุณคิด
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้เลือกได้ถูกต้อง คุณควรรอ
-อดทนกับสิ่งล่อใจ และ ความรู้สึก “ฉันต้องการมัน” คุณต้องหยุดรอบางในบางครั้ง ให้เวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง สำหรับของลดราคา และสำหรับการซื้อของชิ้นใหญ่ราคาแพง ให้ใช้เวลารออย่างน้อย 3 วัน ใช้เวลานี้เพื่อดูความเห็นบนเว็บ เพื่อเปรียบเทียบราคาและอ่านความเห็นออนไลน์
-นับจำนวนชั่วโมงการทำงานที่คุณต้องทำ เพื่อหาเงินที่คุณจะใช้ซื้อในสิ่งที่คุณชอบ นี่เป็นการตัดสินใจแบบมีสติ เพราะคุณจะได้รู้ว่าถ้าคุณซื้อเสิ้อ 1 ตัวคุณต้องทำงาน 3 วันเพื่อให้ได้มันมา ตรวจสอบทุกสิ่งที่คุณมีที่บ้าน บางครั้งเพียงแค่มองสิ่งที่คุณมี คุณอาจตระหนักว่าคุณไม่อยากได้อะไรอีกแล้ว ความสุขในการซื้อของบางอย่างก็เกี่ยวกับการคาดการณ์ล่วงหน้า ดังนั้นหากคุณไม่ซื้อสิ่งนี้คุณก็จะไม่เสียอะไรเลย
7. ใช้ชีวิตแทนการใช้จ่าย
มันเป็นยังไงหรือ? จากการสำรวจเราพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้สึกปลื้มใจกับของใหม่ที่ซื้อมา แค่ไม่เกิน 20 นาทีหลังจากซื้อของเท่านั้น หลังจากนั้น นักช็อปทั้งหลายก็จะมองหา ความสุขที่ได้ซื้อของชิ้น ใหม่ๆ ต่อไป
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-ซื้อของเมื่อคุณต้องการของและไม่ต้องไปที่ร้านค้าหากคุณไม่จำเป็นต้องไป
-วางแผนการไปร้านค้า อย่างมีสติ หากคุณวางแผนการซื้อล่วงหน้าคุณจะไม่รู้สึกเสียใจกับเงินที่คุณใช้ไป หากคุณไม่ได้วางแผนคุณอาจใช้เงินหมดกระเป๋า การช็อปปิ้งควรเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในชีวิตของเรา
8. เก็บรักษาสิ่งที่คุณควรประหยัด
มันเป็นยังไงหรือ? ถ้าคุณทราบจำนวนเงินที่คุณสามารถใช้จ่ายในการซื้อของในหนึ่งสัปดาห์ และเตรียมเงินในกระเป๋าให้พอดีเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อครบ 7 วันคุณลองดูในกระเป๋าเงินของคุณ (และตรวจสอบบัญชีธนาคารของคุณ) คุณอาจจะเห็นว่าคุณมีเงินเหลือติดกระเป๋าอีกเล็กน้อย แต่เงินในธนาคารของคุณก็ยังอยู่ครบ หากคุณใส่เงินเกินกว่านั้นไว้ในกระเป๋าเงิน คุณจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเสียมันไป
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ ลงทุนในอนาคตของคุณเอง
-อย่าใช้จ่ายเงินที่คุณ “บังเอิญ” ได้รับมา เช่น มีคนคืนหนี้ให้คุณหรือ คุณอาจจะเก็บเงินที่จะหุ้นกันซื้อของจากเพื่อนมาก่อน? ลองแบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน: ใช้เงินเฉพาะส่วนแรกที่แบ่งไว้ และ เก็บส่วนที่สองเป็นเงินฝากที่คุณจะไม่ไปแตะต้องจนกว่าจะสินปี
-รวบรวมและตรวจสอบใบเสร็จรับเงินจากร้านค้าที่ใช้บัตรเครดิต พวกมันมักจะแสดงจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในอนาคต นำเงินที่ต้องจ่ายออกจากกระเป๋าเงินของคุณไปใส่ไว้ในบัญชีอื่น นำเศษเงินทอนทั้งหมดของคุณไปใส่ในกระปุกออมสินแทน
-หยุดซื้อทุกสิ่งที่คุณไม่ต้องการจริงๆ ตัวอย่างเช่น กาแฟที่คุณซื้อทุกวัน เพราะ คุณสามารถเลือกที่จะดื่มกาแฟฟรีที่ office บางก็ได้ มีกระปุกออมสินสำหรับเงินสด ไม่จำเป็นต้องเป็นกระปุกหมูออมสิน หากเป็นบัญชีธนาคาร ควรมีบัญชีแยกต่างหากเพื่อการออมโดยเฉพาะ
9. ตั้งเป้าหมายให้น้อย และแบ่งเงินเก็บส่วนใหญ่ไปที่เป้าหมายนั้น
มันเป็นยังไงหรือ? คนส่วนใหญ่มักมีสิ่งที่อย่างได้ พร้อม ๆ กัน หากเราแบ่งเงินเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ได้ไปถึงจุดที่เราสามารถซื้อสิ่งของเหล่านั้นได้ คุณลองคิดดูสิว่ามันจะใช้เวลานานมากแค่ไหน และ ยิ่งเวลานาน เราก็มีโอกาสที่จะแอบเอาเงินส่วนนั้นมาใช้มากขึ้น แต่ถ้าคุณลองเลือกเป้าหมายที่สำคัญที่สุดและทุ่มเทเก็บเงินส่วนนั้น อย่างเต็มที่คุณจะได้มันมาเร็วขึ้น และนั้น จะเป็นส่วนช่วยทำให้คุณมั่นใจในการประหยัดเงินเพื่อสิ่งที่คุณต้องการจริง ๆ
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-เลือกเป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ มันแต่มันควรจะมีเป้าหมายเดียว ด้วยวิธีนี้คุณจะเห็นผลลัพธ์ที่แท้จริงของความพยายามนี้ และคุณจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้นกว่าที่คุณคาดไว้
-อย่าหยุดสิ่งที่คุณทำสำเร็จ เมื่อคุณประหยัดสิ่งหนึ่งได้สำเร็จแล้ว ให้เริ่มประหยัดอย่างอื่นต่อ มุ่งเน้นไปที่เป้าหมายหนึ่งและเมื่อสำเร็จก็ไปยังเป้าหมายถัดไปหลังจากคุณบรรลุเป้าหมายแรกแล้ว
10. ความฝัน
มันเป็นยังไงหรือ? มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะต่อสู้กับความต้องการซื้อสิ่งของตามกระแสที่คนอื่นๆ ก็มีกัน แต่คุณจะรู้สึกดีในตอนแรกเท่านั้น และจะรู้สึกแย่ในภายหลัง เมื่อคุณไม่พบประโยชน์ของมัน
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-คิดเกี่ยวกับเป้าหมายของคุณทุกครั้งที่คุณถูกกระตุ้นให้ซื้อสิ่งที่ “เกินงบประมาณของคุณ” ถามตัวเองว่า ฉันจะทำสิ่งนี้สำเร็จได้อย่างไรถ้าฉันยังคงซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเงินที่ฉันจะเก็บไว้เพื่อความฝันที่แท้จริง
-ให้ใช้ไดอารี่ แทนที่จะคิดเกี่ยวกับเป้าหมายของคุณ เขียนมันลงไป – คนที่เขียนเป้าหมายจะประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายมากกว่าคนที่แค่คิดถึงมัน การจดจะเป็นการตอกย้ำที่สามารถช่วยคุณให้หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
11. มุ่งเน้นไปที่เหตุผลที่ว่าทำไมคุณต้องการประหยัดเงินมากกว่าวิธีการประหยัด
มันเป็นยังไงหรือ? บ้างครั้งเราจำเป็นต้องคำนึงถึงเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องการที่จะเก็บเงิน เพื่อเตือนตัวเองอยู่เสมอ เพราะการที่เรามุ่งแต่ประหยัด หรือไม่ใช้จ่ายบางครั้งอาจจะทำให้เราเครียดได้ แต่การนึกถึงเหตุผลแรกที่เราเริ่มประหยัดจะช่วยให้เราคิดได้ว่า มันเป็นสิ่งที่เราควรทำจริง ๆ
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ
-คิดเกี่ยวกับเป้าหมายที่ทำให้คุณประหยัดบ่อยขึ้น มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่า คนที่รู้เหตุผลที่แน่ชัดว่าทำไมพวกเขาต้องการประหยัดเงิน จะประหยัดได้มากกว่าคนที่ทำตามแผนเกี่ยวกับวิธีการประหยัด
-อย่ากลัวที่จะตัดสินใจ ชีวิตของเรามีแนวทางของมันเอง และทุกๆ สัปดาห์เราต้องตัดสินใจนอกแผนทางการเงินของเราซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ปกติ ก้าวไปสู่เป้าหมายของคุณ แต่อย่าหยุดสนุกกับชีวิตของคุณ การวางแผนทางการเงินจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อผู้คนสามารถตัดสินใจได้ และเตือนตัวเองว่าทำไมพวกเขาถึงอยากบรรลุเป้าหมาย
12. ตรวจสอบเงินสำรองของคุณ
มันเป็นยังไงหรือ? บ่อยครั้งที่ผู้คนให้ความสนใจว่าพวกเขามาไกลจากการบรรลุเป้าหมายแค่ไหน แทนที่จะคิดว่าเข้าใกล้แค่ไหนมากกว่า ในตอนที่คุณเก็บเงินไว้ในกล่องหรือบัญชีออมทรัพย์ แต่คุณไม่เคยนับหรือแตะต้องเงินที่คุณเก็บไว้ เป็นผลให้เงินกลายเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม เกือบเหมือนเงินในอากาศ และเงินเก็บมันไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขมากนักนั้น เพราะคุณไม่ได้รู้ว่าคุณมีเงินเก็บมากขนาดไหน
อะไรคือสิ่งที่ควรทำ เป็นเหมือน Scrooge McDuck ที่กระโจนเข้าไปในห้องใต้ดินเก็บทองของเขา ติดตามกระบวนการและสนุกกับมัน
-ดูเงินออมของคุณเติบโต มันจะช่วยให้คุณเห็นว่าความพยายามของคุณจะให้ผลอย่างไร หยุดทำสิ่งที่คุณชอบทำและตรวจสอบเพื่อดูว่าคุณประหยัดเงินได้มากแค่ไหนในทุกๆ เดือน
-อย่าลืมให้รางวัลตัวเองสำหรับความสำเร็จของคุณ เมื่อคุณถึงจุดหนึ่งที่คุณกำหนดไว้ให้ตัวเอง เฉลิมฉลองและซื้อสิ่งของเล็กๆ ตัวคุณเอง การทำที่เรียบง่ายเหล่านี้สามารถเสริมความปรารถนาของคุณเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
โบนัส: 3 คำถามที่คุณต้องตอบเพื่อทำการสั่งซื้ออย่างมีสติ
นี่คือหลักการพื้นฐาน 3 ข้อของทฤษฎีการบริโภคอย่างมีสติและการประหยัดเงิน
-พักสมองและถามตัวเองว่า: ฉันต้องการมันจริงๆ และฉันจะใช้มันจริงๆ หรือไม่?
-ความสามารถใช้จ่ายทางการเงิน หากคุณตอบว่าใช่สำหรับคำถามก่อนหน้านี้ ถามตัวเองต่อว่า ฉันสามารถจ่ายได้และเป็นการตัดสินใจที่ดี ณ จุดนี้ในเวลาหรือไม่? ถ้าใช่ไปที่คำถามถัดไปถ้าไม่ใช่ให้เก็บเงินเอาไว้และเพิ่มสิ่งของนี้ในเป้าหมายของคุณ
-ถามตัวคุณเอง ฉันจะรู้สึกอย่างไรเมื่อซื้อสิ่งนี้ มันจะทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีหรือไม่?
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside เรียบเรียงโดย BTW