หลังจากที่เราได้พบเจอผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาหาเราในแต่ละวันแล้วก็ต้องพบว่า กับบางคนเราอยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจมากมาก แต่กับบางคนแล้วอยู่ด้วยกลับรู้สึกอึดอัดอยากที่จะขยับตัวออกห่าง หรือกับบางคนแค่ได้มองอยู่ไกลๆก็เห็นถึงความน่ารักและมีเสน่ห์ของเค้าเหล่านั้นก็มี หลายคนก็บอกว่าเราทำบุญมาไม่เท่ากันมันก็เลยได้ผลออกมาแบบนี้ไม่เท่ากันยังไงละซึ่งเราฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเห็นความเชื่อมโยงกันสักเท่าไหร่ พวกเรา BTW ก็เลยอยากจะไปลองหาเรื่องราวหรือข้อมูลอะไรสักอย่างที่จะสามารถบอกพวกเราได้แบบมีหลักการมากขึ้นสักหน่อย เพราะพวกเรา BTW เชื่อกันว่าทุกอย่างมันต้องสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุและผลที่เหมาะสมนั้นเอง
ซึ่งพวกเราก็ได้พบกับเรื่องราวของการใช้ท่าทางหรือภาษากายนั้นเองที่พอจะเอามาอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ได้ว่าทำไมนะพวกเราถึงรับรู้หรือรู้สึกกับคนที่เพิ่งพบกันแตกต่างกันไปนั้นเอง
มาเริ่มจากเรื่องง่ายอย่างการมองสบตากันเลยดีกว่า
เป็นเรื่องธรรมดามากมากที่เวลาเรามองหน้าหรือพูดจากันนั้นเราอาจจะต้องผสานหรือสบตากันกับคู่สนทนา แต่เพื่อนเพื่อนทราบกันไหมละว่าการสบตาที่ดีนั้นก็มีช่วงเวลาที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน สำหรับคนที่เพิ่งพบกันไม่นานเวลาเพียงแค่ สามถึงห้าวินาทีในการมองสบตากันนั้นถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะห่างคุณจ้องมองนานกว่านั้นคนที่ถูกมองก็จะรู้สึกอึดอัดได้แล้ว และเสริมอีกส่วนหนึ่งนั้นก็คือเวลาที่คุณมองไปที่ใบหน้าเวลาสนทนานั้นหากไม่มองสบตาแล้วละก็เราขอแนะให้เพื่อนเพื่อนลองมองไปที่จมูกแทนเพราะหากมองสูงเช่นหน้าผากคุณจะเหมือนไม่สนใจเค้า และห่างมองต่ำลงไปกว่าจมูกจะทำให้รู้สึกว่าคุณสนใจอย่างอื่นๆมากกว่าบทสนทนาที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเอง
การเว้นช่วงเวลาหลังจากเพิ่งพบกันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวจะทำให้รู้สึกสบายใจกว่า
อีกเรื่องหนึ่งเลยนั้นก็คือช่วงจังหวะในการเริ่มการสนทนา หลังจากที่ได้พบหน้าทักทายกันแล้วให้เวลาอีกฝ่ายได้ผ่อนคล้ายจากหลายหลายอย่างก่อนเช่น เค้าอาจจะต้องการนั่งลงหรือแขวนเสื้อนอกให้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยเริ่มบทสนทนาก็ยังไม่สายเพราะการเร่งรีบที่จะพูดนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดความกังวลนั้นเอง
ท่าทางการนั่งและการวางเท้าก็ทำให้คุณรู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้นได้
หนึ่งในความรู้สึกที่แสดงออกเมื่ออยู่กับใครสักคนนั้นก็คือระยะห่างที่เรานั่งหรือยืนอยู่กับบุคคลนั้นนั้นเอง ดังนั้นหากคุณรู้สึกว่าเพื่อนใหม่ของคุณนั่งห่างออกไปหรือนั่งพิงเก้าอี้ไปที่ด้านหลังนั้นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนั้นเอง ดังนั้นการค่อยพูดเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างเรื่องที่อีกฝ่ายชอบจะเป็นการดีที่จะทำให้อีกฝ่ายเปิดใจและค่อยๆขยับเข้าหา แต่ในทางกลับกันการที่คุณขยับตัวหรือนั่งแล้วมีส่วนหนึ่งส่วนใดเช่นแขนหรืออาจจะเป็นขายื่นขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไปจะช่วยทำให้รู้สึกสนิทกันมากขึ้น
การพูดสื่อสารอาจจะเป็นการกระทำที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าแสดงออก
ในบางโอกาสที่ได้พบเจอเพื่อนใหม่นั้นบ้างครั้งการถามคำถามเพื่อขอความคิดเห็นก็ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดได้เพราะเค้ายังไม่พร้อมหรือไม่สนิทใจพอที่จะให้คำแนะนำอะไร แต่การถามด้วยท่าทางอย่างการถามถึงสิ่งที่เราทำด้วยท่าทางการยกมือว่าสิ่งนี้มัน ok ไหม จะช่วยได้มากเพราะอีกฝ่ายสามารถตอบกลับด้วยการพยักหน้าหรือส่ายหน้าเท่านั้นเองและถือเป็นจุดเริ่มต้นในการย่อระยะห่างของเรากับเพื่อนใหม่อีกด้วยนะ
ท่าทางของการวางมือช่วยบอกเราได้ว่าเค้าเบื่อแล้ว
เวลาที่เราหรือใครก็ตามเริ่มที่จะหมดความสนใจหรือออกอาการเบื่อนั้น เราสามารถมองออกได้ไม่ยากเลยจากการที่ดูที่การนั่งและทิศทางของการวางศรีษะของเค้าถ้ามันเริ่มเอนไปทางซ้ายหรือขวา และขนาดที่ต้องใช้มือยกขึ้นมาประครองก็ต้องรีบเปลี่ยนเรื่องหรือจบหัวข้อการสนทนาได้แล้วเพราะถึงจะพูดต่อไปก็ไม่ได้ความกันแล้วละ
เวลาที่ต้องการให้อีกฝ่ายสงบลงให้พยายามมองให้สูงกว่าระดับสายตาอย่างเช่นบริเวณหน้าผากนั้นเอง
บางครั้งเราก็ต้องการแสดงออกถึงความเหนือกว่าหรืออยากที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความไม่พอใจบางอย่างการมองสบตาสักเล็กน้อยก่อนแล้วจึงมองสูงขึ้นไปที่หน้าผากจะช่วยทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงสิ่งนั้นได้ ครั้งหน้าเวลาที่คุณไม่พอใจใครก็ลองนำไปใช้งานดูแล้วบอกเราด้วยละ
เวลายืนกับคู่สนทนาการยืนอยู่ในด้านขวามือของเค้าจะทำให้คุณได้รับการสนใจมากขึ้น
ใครจะไปคิดว่าแค่ตำแหน่งการยืนก็มีผลต่อความรู้สึกได้ นั้นก็เพราะคนเรานั้นมีข้างที่ถนัดและมักจะมองจากมุมมองนั้นเป็นหลักดังนั้นเนื่องจากคนส่วนใหญ่ถนัดขวา การที่เราไปกับเพื่อนอีกคนแล้วเรายืนให้อยู่ด้านขวามือของคู่สนทนาของเราจะทำให้อีกฝ่ายสนใจเรามากกว่าอีกคนหนึ่ง นั้นก็เพราะความถนัดขวาทำให้คนเรานั้นสนใจด้านนี้และให้ความรู้สึกคุ้นเคยและใกล้ชิดมากกว่ายังไงละ แต่อย่าลืมว่าถ้าคู่สนทนาของคุณถนัดซ้ายก็ต้องเปลี่ยนข้างด้วยละ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside — เรียบเรียงโดย BTW